Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555

กาเบรียล บาติสตูต้า ชายผู้มีพลังเท้าดั่งเทพเจ้า

กาเบรียล โอมาร์ บาติสตูต้า (Gabriel Batistuta) เกิดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1969 อายุ 52 ปี ปัจจุบันเลิกเล่นและใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มของตนเองกับครอบครัว

ในวัยเด็กของ บาติสตูต้า ชีวิตไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ที่บ้านมีฐานะยาก เนื่องจากเป็นคนที่ตัวสูงกว่าเด็กทั่วไปจึงมีความคิดที่จะเป็นนักบาสเก็ตบอล แต่เมื่อทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โลก 1978 ทำให้ไฟในตัวของ บาติสตูต้า ตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะตามรอย มาริโอ คัมเปส และเริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังบนถนนกับเพื่อนๆ ทำให้แมวมองของทีม นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ ชักชวนไปทดสอบฝีเท้าและนั่นก็คือจุดเริ่มต้น

หลังจากที่อยู่สโมสรเยาวชนเพียง 1 ปี มาร์เซโล บิเอลซ่า (ปัจจุบันผู้จัดการทีมลีดส์ ยูไนเต็ด) ที่ในตอนนั้นเป็นผู้จัดการทีมชุดใหญ่ ก็เรียก บาติสตูต้า ขึ้นมาสู่ทีม และพยายามสั่งสอนเทคนิคฟุตบอล ซึ่งในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายของ บาติสตูต้า ที่ต้องจากบ้านและไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก ทำให้น้ำหนักตัวเพื่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ บิเอลซ่า ต้องมาสอนว่า ต้องลดน้ำหนักอย่างไรและสอนทุกอย่างให้ บาติสตูต้า ทำให้ร่างกายกลับมาฟิตสมบูรณ์มากกว่าเดิม และยังคล่องตัวมากขึ้น มิหนำซ้ำยังยิงประตูได้อย่างรุนแรงอีกด้วย และเพียงปีเดียวของ บาติสตูต้า ลงสนามช่วย นีเวลล์ โอลด์ บอยส์ ชุดใหญ่ 24 นัด ยิงไป 7 ประตู

และในปี 1989 สโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง ริเวอร์เพลท ก็ได้ดึงตัว กาเบรียล บาติสตูต้า เข้ามาร่วมทีม แต่สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้ลงสนามและไปมีปัญหากับ พาสซาเรลล่า ซึ่งเป็นผู้จัดการทีมในตอนนั้น ทำให้ต้องถูกปล่อยตัวไปอยู่กับทีมอริ อย่าง โบคา จูเนียร์สในท้ายที่สุด

ปี 1990 หลังจากย้ายมาร่วมทีม โบคา จูเนียร์ ภายใต้ผู้จัดการทีมอย่าง ออสการ์ ตาบาเรซ ก็ให้โอกาส บาติสตูต้า ลงสนามไปถึง 34 นัด และยิงได้ถึง 13 ประตู ซึ่งเป็นดาวซัลโวและพาโบคา จูเนียร์คว้าแชมป์ลีกได้อย่างยิ่งใหญ่ และยังชนะ ริเวอร์เพลท ได้ทั้งเหย้า-เยือน ไปอย่างสะใจอีกด้วย

การเริ่มต้นบนแผ่นดินยุโรปก็เกิดขึ้นในปี 1991 ฟิออเรนติน่า ได้เซ็นสัญญา กาเบรียล บาติสตูต้า เข้ามาร่วมทีม หลังจากที่เพื่งจะติดทีมชาติอาร์เจนติน่าครั้งแรก และ คว้าแชมป์ โคปา อเมริกา มาได้ไม่นาน แถมเจ้าตัวยังเป็นดาวซัลโว 6 ประตู ในปีแรกลงสนามช่วย ”ม่วงมหากาฬ” 27 นัด ยิงไป 13 ประตู และในปี 1992-1993 ลงสนามไปทั้งสิ้น 32 นัด ยิงไป 16 ประตู แต่ในปีนี้เองที่ สโมสรฟิออเรนติน่า โดนลดชั้นไปอยู่ในเซเรีย บี แต่ทาง กาเบรียล บาติสตูต้า ก็ไม่คิดที่จะย้ายออกจากทีมแต่อย่างใดแม้ว่าจะมีสโมสรยักษ์ใหญ่หลายทีมต้องการ และทาง บาติสตูต้า ก็ช่วยให้ทีมฟิออเรนติน่า กลับมาเล่นใน กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี ได้อีกครั้ง ด้วยการระเบิดฟอร์ม ลงสนาม 26 นัด ยิงไป 16 ประตู

หลังจากพาสโมสร ฟิออเรนติน่า เข้ามาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในปี 1994-1995 กาเบรียล บาติสตูต้าก็ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่องและยิงประตูได้ทั้งซ้ายและขวา ซึ่งมีความแรงพอๆกัน เมื่อยิงไปถึง 26 ประตู คว้าตำแหน่งดาวซัลโลของ กัลโช่ เซเรียเอ มาได้สำเร็จ และในปี 1995-1996 ยังช่วยให้ฟิออเรนติน่า คว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย (อิตาเลียน คัพ) และ ซุเปอร์ โคปปา มาครองทำให้ชาวเมือง ฟลอเรนซ์ ต่างก็ชื่นชมและรักในตัว กาเบรียล บาติสตูต้า เข้าไปเรื่อยๆจนเป็นสตาร์ของทีมและยังเป็นไอคอนของนักฟุตบอลทั่วโลกในเวลานั้น

หลังจากที่อยู่เมือง ฟลอเรนซ์ มา 9 ปี ลงสนามช่วยสโมสร ฟิออเรนติน่าไป 269 นัด ยิงได้ถึง 167 ประตู ในตอนนั้นเองสโมสรมีปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนักจึงต้องยอมปล่อย กาเบรียล บาติสตูต้า ไปให้กับ เอเอส โรม่า ในปี 2000 ซึ่งในเวลานั้น ฟาบิโอ คาเปลโล่ เป็นผู้จัดการทีม และ ยังมีขุมกำลังอย่าง ฟรานเชสโก้ ต็อตติ , วินเชนโซ่ มอนเตลล่า , วอลเตอร์ ซามูเอล และ เอเมอร์สัน และในปีแรก ”บาติโกล์” ก็ยิงฟุตบอลเข้าไปสู่ก้นตาข่ายถึง 20 ประตู ช่วยให้ โรม่า คว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาครองได้สำเร็จ

หลังจากที่อยู่ โรม่า มา 3 ปี กาเบรียล บาติสตูต้า แม้จะยิงทีมเก่าอย่าง ฟิออเรนติน่าได้ ก็หลั่งน้ำตาทุกๆครั้ง โดยให้เหตุผลว่า “แม้ว่าตัวผมจะออกจากเมืองนี้ไป แต่ใจผมยังอยู่ที่ทุสคานี่เสมอ และยังคงเป็นวิโอล่าตลอดไป”

ในปี 2002-2003 อินเตอร์ มิลาน ก็ได้ยืมตัว กาเบรียล บาติสตูต้า เข้ามาร่วมทีม โดยลงสนามไป 12 นัด ยิงไป 2 ประตู ก่อนจะย้ายไป อัล อารบี ในลีกกาตาร์ และยิงไปถึง 25 ประตู จากการลงสนาม 18 นัด และปิดฉากอาชืพค้าแข้งไปในปี 2005 ในท้ายที่สุด

ครั้งนึง บาติสตูต้า เคยเกือบต้องตัดขาทิ้ง เพราะสภาพร่างกายย่ำแย่อย่างหนัก หลังจากเลิกเล่นฟุตบอล บางครั้งไม่มีแรงที่จะไปเข้าห้องน้ำ และต้องฉี่รดบนที่นอน จนถึงขั้นขอร้องหมอให้ตัดขาทิ้ง แต่หมอก็ได้ทำการรักษาผ่าตัดข้อเท้าขวา จนทำให้หายหมดไปในท้ายที่สุด

ความรักของคนในเมืองฟลอเรนซ์

สร้างรูปปั้นให้กับ ”บาติโกล์” เพื่อเป็นอนุสรณ์ของความรักที่มอบให้แก่เขา

ปัจจุบัน กาเบรียล บาติสตูต้า

ใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มกับครอบครัวอย่างมีความสุข