Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555

“ช้างศึก”ได้เวลาผงาดแชมป์ซูซูกิ คัพ สมัยที่ 6

การแข่งขันฟุตบอล ชิงแชมป์อาเซียน 2020 “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ” ศึกลูกหนังรายการใหญ่ส่งท้ายปีมาถึงรอบชิงชนะเลิศกันแล้ว โดยทีมชาติไทยเจ้าของแชมป์ 5 สมัยจะพบกับ “อิเหนา” อินโดนีเซีย โดยจะเป็นการเล่นนัดชิงชนะเลิศ 2 นัด โดยนัดแรกเตะวันที่ 29 ธ.ค.64 และนัดที่สองเตะวันที่ 1 ม.ค.65 ที่เนชั่นแนล สเตเดียม ประเทศสิงคโปร์

ทีมชาติไทยในยุคของมาโน โพลกิ้ง สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในทัวร์นาเมนต์นี้ รอบแรกลงเล่น 4 นัดชนะรวด ยิงได้ 10 เสียเพียง 1 ประตู และในรอบรองชนะเลิศเจอกับ “แชมป์เก่า” เวียดนาม นัดแรกเอาชนะ 2-0 และนัดที่สองเสมอ 0-0 ทำให้ชนะไปด้วยประตูรวม 2-0 ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นสมัยที่ 10

สถิติที่เจอกันของทีมชาติไทย-อินโดนีเซีย

 ในการจัดอันดับฟีฟาแรงกิ้งล่าสุด (สิ้นสุด 19 พ.ย.2021) ทีมชาติไทยอยู่อันดับที่ 115 ของโลกและเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน ในขณะที่อินโดนีเซียอยู่อันดับที่ 164 เป็นอันดับ 7 ของอาเซียน

โดยสถิติที่ “ช้างศึก” เจอกับ “อิเหนา” ทั้งหมดรวม 79 นัด ไทยเอาชนะได้ 39 นัด เสมอ 14 แพ้ 26  ทั้งนี้เจอกันในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 7 ครั้งไทยเอาชนะได้ 5 ครั้งแพ้เพียง 2 นัด

โดยสถิติที่เจอกัน 2 ครั้งล่าสุดเป็นการแข่งขันในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย โดยเล่นที่อินโดนีเซีย “ช้างศึก” บุกชนะ 3-0 เมื่อ 10 ก.ย.2019 แต่ในนัดที่สองที่เล่นในบ้านทีมชาติไทยทำได้แค่เสมอ 2-2 เมื่อ 3 มิ.ย.2021

และเมื่อ 17 พ.ย.2018 ทีมชาติไทยเอาชนะอินโดนีเซีย 4-2 ประตู เป็นชัยชนะที่มากที่สุดนับตั้งแต่เจอกันมา

ลุ้นแชมป์สมัยที่ 6

“ช้างศึก” ถือว่าเป็นทีมอันดับ 1 ของอาเซียนมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในซูซูกิ คัพ นั้นสามารถผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้ถึง 10 ครั้ง ได้แชมป์มาแล้ว 5 สมัยในปี 1996,2000,2002,2014,2016 แต่ไม่ได้แชมป์มาเป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้ว

อินโดนีเซียไม่เคยคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้เลย ได้เพียงรองแชมป์ในปี2000,2002,2004,2010,2016 โดยเจอกับ “ช้างศึก” ในนัดชิงชนะเลิศรวม 3 ครั้ง “อิเหนา” ไม่เคยเอาชนะได้เลย

รอบชิงดำนัดแรกขาด”อุ้ม”

ในนัดชิงชนะเลิศ นัดแรกที่จะเตะในวันที่ 29 ธ.ค.นี้ ทีมชาติไทยจะลงสนามโดยไม่มี “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ลงสนาม เนื่องจากแบ็กซ้ายตัวเก๋าโดนใบเหลืองใบที่สุดในเกมเจอกับเวียดนาม ในรอบตัดเชือก นัดสอง ทำให้สะสมใบเหลืองครบ 2 ใบ ทำให้จะต้องมองหาคนที่จะมาแทนที่ซึ่งคาดว่าจะเป็นคนใดคนหนึ่งระหว่าง ทริสตอง โด,สุริยา สิงห์มุ้ย และ ฟิลิป โรลเลอร์ แต่ดูเหมือนว่าทริสตอง โด ที่มีความเก๋าเกมมากที่สุดน่าจะได้รับโอกาส แม้ว่าตำแหน่งถนัดของเขาจะเป็นแบ็กขวาก็ตาม

นอกจากธีราทรแล้ว ฉัตรชัย บุตรพรม นายทวารมือ 1 ก็คงหมดสิทธิ์ลงเล่นเช่นกันเนื่องจากได้รับบาดเจ็บในเกมเตะกับเวียดนาม รอบตัดเชือก นัดสอง แต่ “ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน” นายทวารวัย 37 จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็สามารถทำหน้าที่แทนได้อยู่แล้ว

“อิเหนา”ยุค“มูรินโญเอเชีย”

 ทีมชาติอินโดนีเซียซึ่งมีฉายาเป็นทางการว่า “การูด้า” มี ชิน แท-ยง กุนซือชาวเกาหลีใต้คุมทีมและสร้างผลงานได้ไม่เลวเลยทีเดียว มีผลงานในรอบแรกลงเล่น 4 นัด ชนะ 3 เสมอ 1 ยิงได้ 13 เสีย 4 ประตู ผ่านเข้ารอบตัดเชือกในฐานะแชมป์กลุ่มบี

ในเกมรอบรองชนะเลิศ นัดแรก เสมอ “เจ้าถิ่น” สิงคโปร์ 1-1 และในนัดสองดวล 120 นาทีเอาชนะสิงคโปร์ 4-2 ประตู ผ่านเข้าชิงชนะเลิศด้วยประตูรวม 5-3

ชิน แท-ยง เคยเป็นอดีตนักเตะทีมชาติเกาหลีใต้ โดยเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกและผ่านการคุมทีมซองนัม อิลวา และเคยเป็นโค้ชทีมชาติเกาหลีใต้ชุดยู-20 และชุดยู-23 และเคยพาทีมเข้าร่วมศึกเยาวชนโลกอายุไม่เกิน 20 ปีที่นิวซีแลนด์ และ พา “โสมขาว” ไปเล่นในโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่ริโอ เดอ จาเนโร ที่ประเทศบราซิลอีกด้วย รวมถึงคุมทีมชาติเกาหลีใต้ลงเล่นในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียอีกด้วย

และได้รับฉายาว่า “เอเชียน มูรินโญ” เนื่องจากมีการวางแท็กติกที่ลึกซึ้ง มีเกมรุก-รับที่สมดุลเหมือนกับ José Mourinho และเข้ามารับงานคุม “อิเหนา” เมื่อต้นปี 2020 แทนที่ Simon McMenemy กุนซือชาวสกอต และมีผลงานดีขึ้นตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม กุนซือชาวโสมพูดอย่างถ่อมตัวว่าการที่อินโดนีเซียผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้นับเป็นความสำเร็จสูงสุดแล้ว

มาโน โพลกิ้ง กุนซือทีมชาติไทยยืนยันว่าไม่สามารประมาท “อิเหนา” ได้แน่นอน เพราะทีมชาติอินโดนีเซียชุดนี้แข็งแกร่งขึ้นมาก เล่นเกมรุกได้หวือหวา นักเตะสภาพฟิตเต็มร้อย จะประมาทไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เทียบขุมกำลังตำแหน่งต่อตำแหน่งแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ “ช้างศึก” จะเป็นแชมป์ซูซูกิ คัพ สมัยที่ 6 ได้เสียที