Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555

ถึงเวลาโซลชาพาผีแดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก

ตลาดซื้อขายนักเตะในยุโรปได้ปิดลงไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา และต้องยอมรับว่าถนนทุกสายมุ่งสู่พรีเมียร์ลีก โดยที่ฮือฮาที่สุดก็คือ เจดอน ซานโช,ราฟาเอล วาราน และ คริสเตียโน โรนัลโด้ ย้ายมาอยู่กับแมนฯยู

ในขณะที่ลา ลีกา ไม่มีลิโอเนล เมสซี เป็นแม่เหล็กดึงดูดแฟนบอลเหมือนเคยอีกแล้ว

พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021-22 จึงน่าสนใจว่าในบรรดาทีมระดับ “บิ๊กเนม” จะมีใครไปถึงแชมป์ได้ และแต่ละทีมลงทุนเพื่อซื้อความสำเร็จมากน้อยเพียงไร

กุนซือคนไหนจ่ายเยอะจ่ายหนักที่สุดในช่วงที่ขึ้นมาคุมทีม ลองมาดูกัน

1.โอเล กุนนาร์ โซลชา

กุนซือชาวนอร์เวย์จ่ายเงินซื้อนักเตะใหม่มาร่วมทีม “ผีแดง” ในฤดูกาลนี้คิดเป็นเงินจำนวน 126 ล้านปอนด์และได้ซูเปอร์สตาร์มาร่วมทีมสามคนด้วยกันคือ เจดอน ซานโช,ราฟาเอล วาราน และ คริสเตียโน โรนัลโด้ และหากย้อนไปถึงการเข้ามาคุมทีมมาเป็นเวลานานถึงสองปีครึ่งแล้ว โซลชาใช้เงินซื้อนักเตะเป็นจำนวนถึง 441 ล้านปอนด์ (หรือราวสองหมื่นกว่าล้านบาท) แต่นับตั้งแต่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมยังไม่เคยพาทีมคว้าแชมป์รายการใดมาครองได้เลย

การซื้อมีทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว ประสบความสำเร็จที่สุดก็คือเดือนมกราคมปีที่แล้วที่ได้บรูโน เฟอร์นานเดส มาสร้างมิติใหม่ในเกมรุก หากแต่การคว้าตัวดอนนี ฟาน เดอ เบ๊ก มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 36 ล้านปอนด์ถือว่ายังเป็นคำถามว่าโซลชาไม่สามารถรีดศักยภาพที่แท้จริงของมิดฟิลด์ชาวดัตช์รายนี้มาร่วมทีมได้หรือว่ามีเหตุผลอื่นมากกว่านี้

นักเตะค่าตัวแพงที่โซลชาซื้อมาแล้วคุ้มค่าอีกคนก็คือ แฮร์รี แม็คไกวร์ ที่จ่ายเงินให้เลสเตอร์ถึง 75 ล้านปอนด์ และตอนนี้แม็คไกวร์คือกัปตันทีมที่ฟอร์มคงเส้นคงวามากที่สุด

เมื่อผนวกกับสามนักเตะใหม่ฝีเท้าเวิลด์คลาสมาร่วมทีม เป้าหมายของโซลชาที่ต้องทำให้ได้สถานเดียวก็คือการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกเท่านั้น

2.เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมนีเป็นผู้พาลิเวอร์พูลได้ทั้งแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีกและแชมป์พรีเมียรลีก และตลอดเวลาหกปีของการคุมทีม เขาคว้านักเตะมาร่วมทีมรวม 19 คนใช้เงินรวมกันกว่า 500 ล้านปอนด์ การซื้อครั้ง

สำคัญคือการเซ็นเฟอร์จิน ฟาน ไดค์ ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ และ 56 ล้านปอนด์สำหรับนายทวารแซมบ้าอย่างอลิสซอน เบ็คเกอร์

ส่วนในแนวรุกได้โม ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน่ ถือว่าคุ้มค่าที่สุด โดยมาเน่มีค่าตัว 36 ล้านปอนด์ ส่วนซาลาห์ 42 ล้าปอนด์ บวกกับคว้าตัวแอนดี้ โรเบิร์ตสัน จากฮัลล์เพียง 8 ล้านปอนด์

ฤดูกาลนี้แม้จะไม่มีบิ๊กเนมมาร่วมทีม แต่กองเชียร์ “หงส์แดง” ยังเชื่อมั่นว่าคล็อปป์จะพาลิเวอร์พูลกลับไปลุ้นแชมป์อีกครั้ง

3.เป๊ป กวาร์ดิโอลา

เป๊ป คุม “เรือใบสีฟ้า” มายาวนานกว่า 5 ปี และใช้เงินไปแล้วเกือบหนึ่งพันล้านปอนด์ในการซื้อนักเตะเข้ามาสู่ทีม โดยเขาได้ 30 นักเตะเข้ามาสู่ทีมด้วยมูลค่าราว 920 ล้านปอนด์ และจนถึงต้นฤดูกาลนี้จ่ายอีก 100 ล้านปอนด์ซื้อแจ็ค กรีลิชมาร่วมทีม หากแต่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องทำให้คนไม่ติดใจสงสัยอะไรนัก และบางครั้งจ่ายน้อยแต่ได้มากก็มี อาทิเช่นการใช้เงินเพียง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวเพียง 1.8 ล้านปอนด์เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา

4.มิเกล อาร์เตต้า

ฤดูกาลนี้ “ปืนโต” จ่ายเงินไปแล้วเกือบ 150 ล้านปอนด์ในการซื้อนักเตะใหม่มาร่วมทีม และหากนับตั้งแต่มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาคุมทีม ยอดเงินในการซื้อนักเตะของเขาพุ่งขึ้นไปเป็น 225 ล้านปอนด์แลกกับการได้นักเตะใหม่จำนวน 12 คน แม้จะดูจำนวนไม่มาก แต่ผลงานของอาร์เซนอลที่ทรุดต่ำลงไปเรื่อยๆ ทำให้ฤดูกาลนี้กุนซือชาวสเปนสุ่มเสี่ยงกับการถูกปลดจากตำแหน่งเหลือเกิน

ปัญหาจึงไม่ใช่เรื่องเงินในการซื้อนักเตะ แต่อยู่ที่คุณภาพของนักเตะที่ได้มาไม่สามารถสร้างผลงานได้ตามที่คาดหวังต่างหาก

5.โธมัส ทูเคิล

ทูเคิลเพิ่งเข้ามาคุมเชลซีเมื่อกลางฤดูกาลที่แล้ว โดยเขามีนักเตะให้เลือกใช้งานมากมาย และไม่ได้ใช้เงินซื้อนักเตะใหม่เลยจนกระทั่งทีมได้เป็นแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ซึ่งกุนซือชาวเยอรมนีบอกว่าต้องให้เครดิตกับแฟรงก์ แลมพาร์ด กุนซือคนเก่าด้วย

แต่ในฤดูกาลใหม่นี้ ทูเคิล คว้าโรเมลู ลูกากู กองหน้าทีมชาติเบลเยียมด้วยค่าตัว 97 ล้านปอนด์ ถือว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ แถมยังได้ซาอูล ญีเกซ มาร่วมทีมแบบยืมตัวอีกรายก่อนตลาดซื้อขายนักเตะปิดลง

หากเชลซีรักษาระดับการเล่นไว้ได้ เชื่อว่าในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบสองในเดือนม.ค.ทางโรมัน อับราโมวิช จะเปิดไฟเขียวซื้อนักเตะเพิ่มให้อีก

ซูเปอร์สตาร์ตบเท้ามาสู่พรีเมียร์ลีกเช่นนี้ น่าลุ้นระทึกว่าตำแหน่งแชมป์ลีกจะเปลี่ยนมือได้หรือไม่