Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555

“ฟัดกันเอง”

ในการแข่งขันชิงความเป็นเจ้ายุโรป ของฟุตบอลถ้วยใหญ่ที่สุดของวงการ ในระดับสโมสร ก็คงจะหนีไม่พ้น ถ้วย UCL ประเทศที่ประสบความสำเร็จ สามารถคว้าแชมป์ไปครองได้มากที่สุด ก็คือทีมจากประเทศสเปน (18ครั้ง) รองลงมาคือทีมจากประเทศอักฤษ (13ครั้ง)
ส่วนสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือทีมราชันชุดขาว ยักษ์ใหญ่จากประเทศสเปน คว้าแชมป์ไปได้มากครั้งที่สุด (13ครั้ง) รองลงมาคือ เอซี มิลาน จากอิตาลี (7ครั้ง)
ส่วนหงส์แดงของพวกเราได้มาแล้ว 6 ครั้งถ้วน

จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในนัดชิงชนะเลิศของ UCL สโมสรที่มาจากลีกในประเทศเดียวกัน สามารถผ่านเข้าไป “ฟัดกันเอง” ได้ทั้งหมดถึง 7 ครั้ง ผมสรุปมาให้อ่านกันเล่นๆ ประมาณนี้นะครับ

ฤดูกาล 1999/2000 : รีล มาดริด 3-0 บาเลนเซีย
ราชันชุดขาวอุดมไปด้วยนักเตะชั้นพระกาฬ ยุคนั้นประกอบไปด้วย ราอูล, อเนลก้า, มอริเอนเตส, แม็คมานามาน, โรเบอร์โต้ คาร์ลอส ฯลฯ ส่วนบาเลนเซียถือว่าเป็นม้านอกสายตา สามารถพลิกเอาชนะ บาร์เซโลน่า มาได้ในรอบรองชนะเลิศ ทัพนักเตะนำทีมโดย กาอิซก้า เมนเดียสต้า, เคลาดิโอ โลเปซ, มิเกล แองกูโล่ ฯลฯ ดูจากชื่อชั้นของนักเตะ ค่อนข้างจะต่างชั้นกันพอสมควร และก็เป็นไปตามคาด รีล มาดริด เอาชนะไปได้แบบขาดลอย 3-0
เรียกว่าห่างชั้นกันเหลือเกินสำหรับคู่ชิงในปีนี้

ฤดูกาล 2002/2003 เอซี มิลาน 0-0 ยูเวนตุส (จุดโทษ 3-2)
มาปีนี้ เป็นทีของสโมสรในประเทศอิตาลีบ้าง เมื่อปิศาจแดงดำ เข้าไปชิงกับม้าลายยูเวนตุส ทั้งสองทีมถือว่าสูสีกันมาก ขุนพลหลักของมิลาน ประกอบไปด้วย ปิร์โล่, เซดอฟ, รุย คอสต้า, เชฟเชนโก้, อินซากี้ ฯลฯ ส่วนม้าลายก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน ตูราม, เอ็ดก้า ดาวิด, คาโมราเนซี่, เทรเซเก้ต์, เดล ปิเอโร่ ทั้งสองทีมเล่นกันอย่างรัดกุม ไม่สามารถเอาชนะกันได้ในเวลาปกติ สุดท้ายก็ต้องดวลจุดโทษกัน และก็เป็น เชฟเชนโก้ คือคนยิงปิดเกมให้ปีศาจแดงดำเอาชนะไปได้อย่างหงุดหวิด 3-2

ฤดูกาล 2007/2008 แมน ยูไนเต็ด 1-1 เชลซี (จุดโทษ 6-5)
หลังจากผีแดง ออกนำไปก่อนจากการทำประตูของคริสเตียนโน่ โรนัลโด้ แต่เชลซีก็มาตามตีเสมอได้ด้วยประตูของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จากนั้นก็เล่นกันอย่างระมัดระวังสุดๆ สุดท้าย ก็ต้องจบด้วยการยิงจุดโทษตัดสิน ภาพจำก็คือ เชลซีมีโอกาสคว้าแชมป์อย่างที่สุด เมื่อ แมน ยูไนเต็ด อยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบแล้ว CR7 ที่รับหน้าที่ยิงเป็นคนที่3 กลับยิงลูกโทษไม่เข้า นั่นหมายความว่า ลูกสุดท้าย หากจอห์น เทอรรี่ ยิงเข้า เชลซีจะคว้าแชมป์ทันที
แต่ปรากฏว่าเขากลับยิงออกนอกกรอบไปซะอย่างงั้น แล้วก็เหมือนปลุกผีขึ้นจากหลุม ลูกสุดท้าย อเนลก้า ยิงไปติดเซฟ ฟาน เด ซาร์ ส่งให้ผีเถลิงแชมป์ไปแบบเจ็บปวดใจ

ฤดูกาล 2012/2013 บาร์เยิร์น มิวนิค 2-1 ดอร์ทมุนด์
ในรอบรองชนะเลิศ เป็นการเจอกันระหว่างสโมสรจากประเทศสเปน กับ สโมสรจากประเทศเยอรมัน ดอร์ทมุนด์ จัดการสอย รีล มาดริด ส่วนเสือใต้ จัดการถีบบาร์เซโลน่าตกรอบ ยุคนั้นดอร์ทมุนด์มีผู้จัดการทีมที่กำลังมาแรงสุดๆ ผู้มีนามว่า เจอร์เก้น คลอปป์ นำทีมนักเตะพลังหนุ่มของเขาหักปากกาเซียน คว่ำราชันชุดขาวลงได้ ประกอบไปด้วย เลวานดฟสกี้, มาร์โก้ รอยส์, กุยโดกัน, ฮุมเมิ่ล ฯลฯ ส่วนเสือใต้ ยังคงแกร่งทั่วแผ่นเช่นเดิม 11ตัวแรกที่ลงทำการแข่งขัน นำโดย ฟิลลิป ลาร์ม, ชไวสไตเกอร์, ร็อบเบน, ริเบอรี่, มานซูคิช, โธมัส มุลเลอร์ (ตอนนั้น เชอดาน ชากิรี่ เป็นตัวสำรอง) หลังจากที่เสมอกัน 1-1 เกมดูท่าเหมือนจะจบในเวลาปกติแล้ว ปรากฏว่า ดอร์ทมุนด์ไปพลาด เมื่อปล่อยให้อาเยน ร็อบเบน หลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกันผู้รักษาประตู แล้วบรรจงหักบอลเลียดผ่านเข้าไปเป็นประตู ในนาทีที่ 89 กลายเป็นประตูชัยให้เสือใต้คว้าแชมป์ไปครอง เรียกว่าน่าเสียดายแทนเสือเหลืองจริงๆ

ฤดูกาล 2013/2014 รีล มาดริด 1-1 แอต.มาดริด (ต่อเวลา 4-1)
ฤดูกาล 2015/2016 รีล มาดริด 1-1 แอต.มาดริด (ลูกโทษ 5-3)

ถือเป็นคู่กัดประจำเมืองกันจริงๆ สำหรับสองยักษ์ใหญ่ในเมืองมาดริด แต่เหมือนบอลแพ้ทางกัน ทีมตราหมี ไม่เคยก้าวข้ามทีมราชันชุดขาวไปได้เลย น่าเจ็บใจที่สุดคงจะเป็นนัดชิงในปี 2013/2014 แอท.มาดริด ออกนำไปก่อน 1-0 แถมสามารถยันพลังบุกของราชันชุดขาวไว้จนครบ 90 นาทีเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังจะหมดเวลาอีกไม่กี่อึดใจ ชุดขาวก็มาได้ประตูปาฏิหารย์ เมือ รามอส โหม่งบอลเข้าไปเป็นลูกตีเสมอได้สำเร็จ นักเตะของซิเมโอเน่ ถึงกลับหงายท้องกันเลย เพราะรู้ว่า โมเม้นตั้มเปลี่ยนแล้ว พอเข้าช่วงต่อเวลาพิเศษ ก็เรียบร้อย โดนรีล มาดริด ถล่มไปอีก 3ประตูรวด คว้าแชมป์ไปครองได้ในที่สุด ส่วนในฤดูกาล 2015/2016 ทุกอย่างเหมือนเดจาวู ฉายหนังซ้ำ ทั้งสองกลับมาเจอกันอีกในนัดชิง และก็เสมอกันในเวลาอีกด้วยสกอร์เท่าเดิมคือ 1-1 ต้องหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ และเป็นรีล มาดริด ที่ย้ำแค้นให้กับทีมตราหมีไปอีกคำรบ ด้วยการเอาชนะไปได้ 5-3

ฤดูกาล 2018/2019 ลิเวอร์พูล 2-0 ท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ส
ปีนี้เรียกว่าเป็นยุคเฟื่องฟูของทีมจากประเทศอังกฤษอย่างแท้จริง เมื่อคู่ชิงชนะเลิศทั้งถ้วยเล็ก ถ้วยใหญ่ เป็นทีมจากพรีเมียร์ลีกทั้งสิ้นนั่นคือ ถ้วยUCL หงส์แดง เจอกับ ไก่เดือยทอง ส่วน ยูโรป้าลีก เป็น ปืนใหญ่อาร์เซน่อล ดวลกับเชลซี หงส์แดงหลังจากพลิกนรก ตื่นจากความตายด้วยการเอาชนะเจ้าบุญทุ่มอย่างบาร์เซโลน่ามาได้ในรอบรองชนะเลิศ ทีมตราไก่ของยอดกุนซืออย่าง “พ็อต” โปเซปติโน่ ก็ไม่น้อยหน้า เมื่อล้มเรือใบสีฟ้า เต็งหนึ่งของรายการในรอบ8ทีมสุดท้าย แถมด้วยการพลิกล็อคเอาชนะ อาร์แจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมที่มาแรงในฤดูกาลนี้ ทั้งๆ ที่จะตกรอบอยู่มะลอมมะล่อ เพราะแพ้ในบ้านตัวเอง 1-0 แต่กลับไปชนะอาแจ๊กซ์ได้ถึงในบ้าน 3-2 ผ่านเข้าไปในรอบชิงชนะเลิศชนกับลิเวอร์พูลด้วยกฏ Away Goal ในเกมนัดชิง หงส์แดง ลิเวอร์พูล ดูจะมีความกระหายในชัยชนะและมีความมุ่งมั่นมากกว่าทีมจากเมืองลอนดอน เมื่อเริ่มต้นเกมไม่กี่นาที หงส์แดงก็มาได้ลูกจุดโทษจากการทำแฮนด์บอลของผู้เล่นตราไก่ แล้วก็เป็น โม ซาลาห์ จัดการสังหารเข้าไปไม่เหลือซาก ก่อนจะมาได้อีกหนึ่งประตูในครึ่งหลังจากซุปเปอร์ซับมหาเทพ โอริกี้ จบเกม หงส์แดงเถลิงแชมป์สมัยที่ 6 ไปอย่างยิงใหญ่ ด้วยการเอาชนะทีมท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ส ไปด้วยสกอร์ 2-0