Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555

เจมี่ วาร์ดี้ จากหนุ่มโรงงานสู่นักเตะระดับตำนานเลสเตอร์

เจมี่ วาร์ดี้ เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 1987 ปัจจุบันอายุ 34 ปี และค้าแข้งอยู่กับเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมดังในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในตำแหน่งศูนย์หน้า และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

หากจะย้อนกลับไปในสมัยวัยเด็ก วาร์ดี้ ต้องต่อสู้ดิ้นรน เพราะเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ โดยพ่อ ริชาร์ด กิลล์ วาร์ดี้ มีอาชืพเป็นพนักงานคุมรถเครน ตามสถานที่ก่อสร้าง ส่วนแม่ ลิซ่า วาร์ดี้ เป็นทนายความ เจมี่ วาร์ดี้ ต้องไปทำงานในโรงงานขาเทียม เพราะไม่มีทางเลือกมากนักในเวลานั้น

และการที่ได้มาทำงานโรงงานขาเทียมแห่งนี้ ทำให้ เจมี่ วาร์ดี้ เริ่มรู้จักกับฟุตบอลและชื่นชอบฟุตบอล หลังจากที่ได้เล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆที่โรงงาน หลังจากนั้นไม่นานก็ตัดสินใจเข้าสู่วงการฟุตบอล กับ ทีมเยาวชน เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ แต่ก็ต้องถูกปล่อยตัวออกจากทีมในวัย 16 ปี และในปี 2003 วาร์ดี้ ก็ได้ไปอยู่กับ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ สโมสรลีกที่อยู่ต่ำสุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ ก็คือ ดิวิชั่น 8

วาร์ดี้ ได้ใช้เวลาในการเป็นนักเตะเยาวชนของทีม สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ อยู่ 4 ปี และในวัย 20 ปี ก็สามารถขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ แต่ในตอนนั้นแม้ว่าจะได้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่แล้วก็ตาม แต่ก็ได้รับค่าเหนื่อยเพียงแค่ 30 ปอนด์ (ประมาณ 1,330 บาท) ต่อสัปดาห์ เท่านั้น และมันไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ วาร์ดี้ ต้องกลับไปทำงานโรงงานขาเทียมเหมือนเดิม พร้อมกับเล่นฟุตบอลที่ตนเองรักไปด้วย

ในตอนนั้นเอง อัลเลน เบเธล ประธานสโมสรของ สต็อคบริดจ์ ปาร์ค สตีลส์ ได้เห็นความมุ่งมั่นและมีทัศนคติในการเล่นฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม โดดเด่นออกไปจากเพื่อนร่วมทีม ถึงขั้นเอ่ยปากออกมาว่า ”เขาจะเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอยู่เสมอ แม้เขาจะโดนเตะอยู่หลายครั้ง ผมต้องบอกว่าเขาคือนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร”

ในปี 2010 จากการที่ทุ่มเทกับการเล่นฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม ทำให้ทีมอย่าง ฮัลลิแฟ็กซ์ ทาวน์ สโมสรที่อยู่ในดิวิชั่น 7 ก็ดึงไปร่วมทีม หลังจากนั้น เจมี่ วาร์ดี้ ก็ระเบิดฟอร์ม ในฤดูกาลแรกที่ลงสนาม ด้วยการลงเล่นไป 37 นัด ยิงไป 26 ประตู พาทีมคว้าแชมป์และเลื่อนชั้นขึ้นสู่ดิวิชั่น 6 ได้สำเร็จ

หลังจากสิ้นสุดฤดูกาล 2010-2011 สโมสร ฟลีตวูด ทาวน์ ทีมจากดิวิชั่น 5 ได้ดึงตัว วาร์ดี้ มาร่วมทีมทันทีเมื่อตลาดซื้อขายเปิดและก็ไม่ทำให้ผิดหวัง โดย วาร์ดี้ ระเบิดฟอร์มอันร้อนแรงจากการลงสนาม 36 นัด ยิงไป 31 ประตู เป็นเจ้าของรางวัลผู้ทำประตูสูงสุด และช่วยให้สโมสรไม่แพ้ใครติดต่อกันถึง 29 นัด มิหนำซ้ำยังคว้าแชมป์ตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาลอีกด้วย

จากฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของวาร์ดี้ ทำให้สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ในตอนนั้นอยู่เพียงลีก เดอะ แชมเปี้ยส์ชิพ ซึ่งมี ไนเจล เพียร์สัน เป็นผู้จัดการทีม และเจ้าของเลสเตอร์ ซิตี้ คือ กลุ่มบริษัท คิงพาวเวอร์สเตเดี้ยม ที่เข้ามาซื้อกิจการในปี 2010 ก็ได้ตัดสินใจซื้อ วาร์ดี้ เข้ามาร่วมทีม ด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 44,335,810 บาท) แม้ในตอนนั้นจะมีข้อสงสัยของ คุณอัยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสรในตอนนั้นว่า ”ทำไมต้องซื้อกองหน้าจากทีม ดิวิชั่น5 ด้วยราคา 1 ล้านปอนด์” ไนเจล เพียร์สัน ที่รับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมในตอนนั้นก็แสดงความมั่นใจว่า ”แม้ว่าจะมีงบเพียง 1 ล้านปอนด์ก็ต้องซื้อวาร์ดี้มาให้ได้” ทำให้คุณอัยวัฒน์ เชื่อใจและตอบกลับไปว่า ”งั้นซื้อเลย”

หลังจากนั้นไม่นาน วาร์ดี้ ก็ได้ย้ายมาอยู่กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2012 ภายใต้การคุมทีมของ ไนเจล เพียร์สัน ในช่วงแรกๆนั้น วาร์ดี้ เกือบจะผิดพลาดอย่างหนักไปแล้วในช่วงแรก หลังจากที่ วาร์ดี้ เริ่มมีเงินมากมายเข้ามาแบบที่ตนเองไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เริ่มฉลองกับเพื่อนร่วมทีมด้วยการเมาหนักในทุกๆวัน ทำให้เรื่องนี้ไปถึงหู คุณอัยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา รองประธานสโมสร ต้องเข้ามาคุยปรับทัศนคติ วาร์ดี้ ด้วยตนเองในตอนนั้น และได้พูดว่า ”คุณต้องการจบชีวิตอาชืพนักเตะของตนเองในตอนนี้เลยใช่ไหม ถ้าต้องการแบบนั้นเราจะรอให้สัญญาของคุณหมดลงและปล่อยตัวคุณออกจากทีม” ในคำๆนี้เองทำให้ วาร์ดี้ กลับมาตั้งในฝึกซ้อมและเลิกดื่มเหล้า เพื่อพัฒนาฝีเท้าของตนเอง และในปี 2012-2013 วาร์ดี้ได้ลงสนามไป 26 นัด ยิงไป 4 ประตู ช่วยให้เลสเตอร์ จบอันดับที่ 6 ของตาราง เดอะ แชมเปี้ยส์ชิพ คว้าสิทธิ์เพลย์ออฟ เพื่อเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก แต่ก็ต้องอกหักเมื่อพ่ายแพ้ให้กับวัตฟอร์ด ในปีนั้น

ในปี 2013-2014 วาร์ดี้ ก็พาเลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยส์ชิพ และคว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ โดยลงเล่นไปทั้งหมด 37 นัด ยิงไป 16 ประตู หลังจากขึ้นชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ที่เป็นลีกสูงสุดของอังกฤษ ฤดูกาล 2014-2015 เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นทีมน้องใหม่ ต้องประสบปัญหาการเล่นอย่างยากลำบาก แต่ก็สามารถรอดการตกชั้นไปได้ด้วยอันดับ 14 ของตารางคะแนน และ วาร์ดี้เอง ลงสนาม 34 นัด ยิงไป 5 ประตูเท่านั้น

ในปี 2015 เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ทำการปลด ไนเจล เพียร์สัน ผู้จัดการทีมที่สาเหตุในการปลดครั้งนี้ มาจากการที่ลูกชายของตนเองไปก่อเรื่องมีคลิปฉาว ในตอนที่เดินทางมาเตะอุ่นเครื่องที่ประเทศไทย และประกาศแต่งตั้ง เคลาดิโอ รานิเอรี่ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในทันที ในตอนนั้นเอง บ่อนพนันถูกกฎหมายในประเทศอังกฤษต่างให้อัตรา เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ ด้วย อัตรา 5000/1 ซึ่งไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย

ภายหลังจากผ่านไป 12 นัดแรกของพรีเมียร์ลีก เลสเตอร์ ซิตี้ ก็สามารถขึ้นมาครองตำแหน่งจ่าฝูงได้สำเร็จ และในตอนนั้นเองหลายฝ่ายก็เชื่อว่า คงอยู่อันดับหัวตารางได้ไม่นาน แต่ทว่าการคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ไม่มีแววที่ฟอร์มจะถอยลงเลยในตอนนั้น และสามารถสร้างปาฏิหาริย์ คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ไปครองได้สำเร็จแบบ ช็อคแฟนบอลทั่วโลก และยังเป็นครั้่งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร ในปีนั้นเอง วาร์ดี้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการคว้าแชมป์ของเลสเตอร์ ด้วยการยิงไป 24 ประตู

วาร์ดี้ รักษาผลงานอย่างยอดเยี่ยมตลอดมาและในฤดูกาล 2019-2020 วาร์ดี้ ก็ยิงไปทั้งสิ้น 23 ประตูในพรีเมียร์ลีก คว้าดาวซัลโวสูงสุดมาครองได้สำเร็จ และยังสร้างสถิติเป็นนักเตะอายุมากที่สุด 33 ปีในตอนนั้น ในปัจจุบันนี้ปี วาร์ดี้ ก็ยังคงอยู่กับเลสเตอร์ ซิตี้ และตั้งใจฝึกซ้อมพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา จนเป็นนักเตะอีกคนนึงที่เข้าไปอยู่ในใจของแฟนบอล ”จิ้งจอกสยาม” และกลายเป็นตำนาน อยู่ในปัจจุบันนี้