Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555

เส้นทางรอบ 16 ทีมบิ๊กแมตช์“สิงโต”ดวล“อินทรีเหล็ก”

การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 จบการแข่งขันรอบแรกไปหมดแล้วตอนนี้ก็ได้หลายทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกันแล้ว

ถือว่าทีมใหญ่ต่างเอาตัวรอดได้หมดอาจจะมีลุ้นเสียวกันจนถึงนัดสุดท้ายรอบแรกบ้าง

ตอนนี้ต้องลืมเลือนผลงานในรอบแบ่งกลุ่มไปให้หมด เพราะตั้งแต่นี้ไปเป็นการเล่นแบบน็อกเอาต์ ทีมที่กระท่อนกระแท่นในรอบแรกอาจมาเปรี้ยงในรอบนี้ และอาจจะไปถึงตำแหน่งแชมป์ก็เป็นได้

ลองมาดูสถานการณ์และเส้นทางของ “บิ๊กเนม” กันดูบ้าง ว่าโอกาสลุ้นจะมีมากแค่ไหน

1.ฝรั่งเศส

ทีม “ตราไก่” เป็นเต็ง 1 ตั้งแต่ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ และออกสตาร์ตด้วยฟอร์มสวยหรูด้วยการเอาชนะเยอรมนี 1-0 ก่อนจะเสมอใน 2 นัดต่อมาแต่ก็แกร่งพอที่จะเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 1 ของสายเอฟซึ่งเป็น “กรุ๊ป ออฟ เดธ”

ฝรั่งเศสจะเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับสวิตเซอร์แลนด์ถือว่าไม่หนักหนานัก โดยจะเล่นในวันจันทร์ที่ 28 มิ.ย.นี้ที่บูคาเรสต์ โรมาเนีย และคุณสมบัติของทีม “ตราไก่” ก็มักจะยิ่งเล่นยิ่งดี แถมในนัดสุดท้ายของรอบแรกคาริม เบนเซมาเหมาสองประตูด้วย

แต่หากผ่านสวิตเซอร์แลนด์ไปได้ “ตราไก่” ก็อาจจะต้องฝ่าด่านหินทั้งเบลเยียม,อิตาลี และอาจจะรวมทั้งสเปนด้วย ถือว่าหนักหนาเอาการอยู่

2.สเปน

ทีม “กระทิงดุ” เริ่มต้นสองนัดแรกแบบกระท่อนกระแท่นเต็มที แต่ในนัดสุดท้ายของรอบแรกไล่ถล่มสโลวาเกีย 5-0 ผ่านเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 2 ของกลุ่มอีเข้าไปเจอกับโครเอเชียถือว่าสมน้ำสมเนื้อ สเปนน่าจะเล่นได้มั่นใจขึ้นมาก ได้เซร์คิโอ บุสเกต์ กัปตันทีมกลับมาจังหวะการเล่นไหลลื่นขึ้นมาก ขอให้อัลวาโร โมราต้า คลำเป้าเจออาจจะไปได้ไกลก็ได้

3.โปรตุเกส

ทีม “แชมป์เก่า” มีฟอร์มขึ้นๆ ลงๆ ในรอบแรก แต่ก็ยังผ่านเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 3 ของกลุ่มเอฟ ถือว่าน่าจับตา เพราะตอนที่ได้แชมป์เมื่อ 4 ปีก่อนก็มาในลักษณะคล้ายกันนี้แหละประมาทไม่ได้ ที่สำคัญ “คริสเตียโน โรนัลโด้” ยิงประตูทุกนัดในรอบแรก และกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดในยูโร 2020 ขณะนี้ด้วยประตูรวม 4 ประตู

โปรตุเกสต้องเล่นเกมบิ๊กแมตช์ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ “ปีศาจแดงยุโรป” เบลเยียม นับเป็นบอลถูกคู่ เพราะเป็นบอลเล่นเกมรุกทั้งคู่ เบลเยียมมีเควิน เดอบรอยน์ และ โรเมลู ลูกากู เป็นตัวปั้นเกม ส่วนโปรตุเกสก็มีโรนัลโด้

แต่ใครชนะคู่นี้ก็ส่อว่าเหนื่อยหนักเพราะต้องเจอกับทีมอิตาลี ที่รอบแรกแกร่งมากชนะรวด 3 นัดไม่เสียประตูเลย

4.เยอรมนี

ถ้าเอาไปเทียบกับมาตรฐานของ “อินทรีเหล็ก” ยุคเดิมๆ ต้องยอมรับว่าทีมชาติเยอรมนียังไม่แกร่งทั่วแผ่นเหมือนเคย แต่ทัวร์นาเมนต์นี้เป็นการทำงานสั่งลาของโยอาคิม เลิฟ อะไรก็เกิดขึ้นได้

อนาคตของเยอรมนีจะรุ่งหรือร่วงก็คงขึ้นอยู่กับผลงานในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่จะไปเจอกับอังกฤษที่เวมบลีย์นี่แหละ หากสามารถผ่านไปได้ก็อาจไปถึงรอบชิงก็ได้ เพราะในสายนี้ที่แข็งแกร่งทัดเทียมก็เห็นจะมีแต่เนเธอร์แลนด์ ในสายล่างซึ่งมีสวีเดนเจอยูเครน,เวลส์เจอเดนมาร์ก ถือว่าไม่ยากต่อการรับมือเท่าใดนัก

5.อังกฤษ

ถ้าหากดูจากขุมกำลัง “สิงโตคำราม” สมควรจะได้เป็นเต็ง 1 จริงๆ แต่ฟอร์มในรอบแรกก็เล่นไม่น่าประทับใจนัก แม้จะเป็นแชมป์กลุ่มแต่ยิงได้แค่ 2 ประตูจากราฮีม สเตอร์ลิง ในขณะที่ศูนย์หน้าที่จะเป็นความหวังอย่างแฮร์รี เคน ยังเล่นไม่ออกเลย

แต่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทีมชาติอังกฤษจะได้เล่นในเวมบลีย์ ผู้เล่นตัวหลักอย่าง แฮร์รี แม็คไกวร์,จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กลับมาลงสนามได้แล้ว และบูกาโย ซากา และ แจ็ค กรีลิช เติมสีสันใหม่ให้แนวรุกให้ทีมได้ดี

“สิงโตคำราม” มีด่านหินก็คือการเจอกับเยอรมนีนั่นแหละ หากผ่านไปได้ก็อาจจะไปไกลถึงแชมป์ได้เหมือนกัน

แต่ถ้าพังคาบ้านก็แปลว่ายังแพ้ทาง “อินทรีเหล็ก” อยู่

น่าลุ้นน่าเชียร์กันมากในรอบน็อกเอาต์นี้