Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555

โรนัลโด้กับ 4 ความเปลี่ยนแปลงของแมนฯยู

คริสเตียโน โรนัลโด้ กลับมาสู่ “ผีแดง” หนสองในวัย 36 และดูเหมือนว่าผลงานจะมาดีกว่าที่แฟนบอลบางคนคิดไว้เสียอีก

เพราะการกลับมาหนนี้ดูเหมือนว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับทีมได้อย่างเด่นชัดในเวลาอันรวดเร็ว

จนอาจกล่าวได้ว่าโรนัลโด้กลายเป็นนักเตะที่แมนฯยูขาดไม่ได้แล้ว

1.สมราคาตำนานเสื้อเบอร์ 7

แม้เพิ่งลงเล่นไป 2 เกมในพรีเมียร์ลีกยิงไปแล้ว 3 ประตู ดูเหมือนว่าจะเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของตำนานเบอร์ 7 อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะถ้าเทียบกับผู้เล่นที่เคยสวมเสื้อเบอร์เดียวกันให้ “ผีแดง” อย่างอเล็กซิส ซานเชซ และ อังเดล ดิ มาเรีย เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ซานเชซต้องลงเล่นถึง 32 ถึงยิงได้ 3 ประตู เช่นเดียวกับดิ มาเรีย ที่ยิงได้ 3 ประตูจากการลงเล่น 27 นัด

อีกคนที่มีผลงานแย่ไปกว่านัดก็คือ อันโตนิโอ วาเลนเซีย สวมเสื้อเบอร์ 7 ลงเล่น 30 นัดยิงไปได้แค่ประตูเดียวเท่านั้น

ส่วนไมเคิล โอเว่น ลงเล่น 31 นัดยิงได้แค่ 5 ประตู เช่นเดียวกับ เมมฟิส เดอปาย ลงเล่น 33 นัดให้แมนฯยูยิงได้ 2 ประตู

ในขณะที่คนที่สวมเสื้อหมายเลข 7 ก่อนที่โรนัลโด้จะคัมแบ็กรอบสองคือเอดินสัน คาวานี มีผลงานยิง 17 ประตูจากการลงเล่น 39 นัด

หากรักษาฟอร์มยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง ดาวยิงวัย 36 จะกลายเป็นเบอร์ 7 ในตำนานของแมนฯยูที่ไม่มีแฟนบอลคนไหนลืมเลือนได้เด็ดขาด

และถ้ารวมผลงานยิงประตูก่อนที่เขาจะย้ายไปเรอัล มาดริดแล้ว โรนัลโด้ทำประตูให้ “ผีแดง” รวม 84 ประตูเข้าไปแล้ว

2.ผลักดันสู่แชมป์ลีก

หลังจากหมดยุคของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เคยพาแมนฯยูคว้าแชมป์ลีกถึง 13 สมัยแล้ว ต่อจากนั้นกุนซือดังทั้งเดวิด มอยส์,หลุยส์ ฟาน กัล,โฮเซ่ มูรินโญ และ โอเล กุนนาร์ โซลชา ยังไม่เคยพาทีมกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เลย

โดยเฉพาะโซลชายังไม่เคยพาทีมหยิบแชมป์รายการใดได้เลยตลอดระยะเวลาคุมทีมนานกว่า 4 ปี

แต่บางทีการได้โรนัลโด้มาร่วมทีมก่อนตลาดซื้อขายนักเตะปิดได้ไม่นาน อาจเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

ผลงานทั้งในพรีเมียร์ลีกและยูฟา แชมเปียนส์ลีกที่ผ่านมา โรนัลโด้ตอบโจทย์จุดอ่อนของ “ผีแดง” ได้อย่างเด่นชัดนั่นก็คือ เป็นกองหน้าที่ใช้โอกาสไม่เปลืองเลย และความเปลี่ยนแปลงที่ตามมาก็คือโรนัลโด้ยังถอยไปช่วยเกมรับด้วย รวมทั้งการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของเขา ทำให้ผู้เล่นคนอื่นจำเป็นต้องปรับสปีดการเล่นให้เร็วตามไปด้วย การวิ่งของกัปตันทีมชาติโปรตุเกสยังทรงพลัง และเหลือเชื่อมากว่ามีอายุ 36 แล้ว

3.ตอบโจทย์ 4-3-3

ถ้าเจอกับทีมใหญ่ โซลชามักให้ “ผีแดง” เล่นในระบบ 4-2-3-1 หมายความว่าจะมีมิดฟิลด์ตัวตัดเกมลงคู่กันสองคนโดยตัวหลักก็คือ สกอต แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ซึ่งเหมือนจะไปเน้นเกมรับมากไปหน่อย ในขณะที่ลิเวอร์พูลเล่นในระบบสามกองหน้า มีมิดฟิลด์สามตัว ส่วนแมนฯซิตี้ ก็เล่นคล้ายกัน ส่วนเชลซีก็มีเกมหลากหลาย และโธมัส ทูเคิล พร้อมจะปรับเกมมาเล่นระบบ 3 กองหน้าหากต้องการได้ประตู

ส่วนโรนัลโด้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับเรอัล มาดริด หรือ ยูเวนตุส ก็ชอบเล่นระบบสามกองหน้า โดยจะยืนเป็นกองหน้าตัวเป้าหรือสลับไปยืนริมเส้นได้บ้าง

บางทีโซลชาก็ควรกล้าเล่นระบบ 4-3-3 เมื่อมีโรนัลโด้ลงสนามดูบ้าง ดูจะทำให้เกมรุกของแมนฯยูไหลลื่นกว่าเดิม

4.คู่หูโปรตุเกสบรูโน-โรนัลโด้

ทีมชาติโปรตุเกสโชว์ผลงานไม่น่าประทับใจนักในยูโร 2020 บรูโน เฟอร์นันเดส ไม่สามารถประสานกับโรนัลโด้ได้อย่างที่หวัง และ 26 นัดที่เล่นด้วยกันในทีมชาติ จาก 30 ประตูที่โรนัลโด้ทำได้มีบรูโนแอสซิสต์เพียง 3 ประตูเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้แฟนบอล “ผีแดง” ก็ไม่แน่ใจว่าทั้งคู่จะทำได้ดีแค่ไหนในการเล่นให้แมนฯยู แต่ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะประสานงานกันได้ดีทีเดียว ทั้งในเกมแชมเปียนส์ลีกกับยัง บอยส์ และลูกที่เปิดให้โรนัลโด้ทำประตูในเกมบุกชนะเวสต์แฮม 2-1

ความเฉียบคมในการทำประตู ความหิวกระหายชัยชนะ การปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีมของโรนัลโด้ทำให้ “ผีแดง” มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจริงๆ

แต่จะดีขึ้นถึงขนาดเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือไม่ ต้องคอยดูกัน