Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555

เบื้องหลังเลสเตอร์ยิ่งใหญ่อย่างยั่งยืน

เลสเตอร์ ซิตี้ หักปากกาเซียนด้วยการพลิกเอาชนะ “สิงโตสีน้ำเงิน” เชลซี 1-0 ประตู คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้เป็นผลสำเร็จ

เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่ 44 ที่สามารถคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้สำเร็จ

ก่อนหน้านี้ “จิ้งจอกสยาม”  เคยผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในรายการนี้มาแล้ว 4 ครั้งในปี 1949,1961,1963 และ 1969 ในรอบที่ผ่านมา เบรนแดน ร็อดเจอร์ส สร้างผลงานพาทีมเอาชนะ สโต๊ค ซิตี้, เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเซาธ์แฮมป์ตัน จนผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ กับ เชลซี

การคว้าแชมป์ในฟุตบอลเอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้ ทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ ทำสถิติคว้าแชมป์การแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญของอังกฤษ ได้ทุกรายการ โดยเป็นการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 1 สมัย และคว้า แชมป์ ลีก คัพ อีก 3 สมัย

สโมสรที่ไม่มีงบประมาณมหาศาลเหมือนทีมระดับ “บิ๊กเนม” สามารถประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไรทุกคนคงอยากรู้คำตอบ

ความสำเร็จอย่างหนึ่งก็คือแนวทางการจัดการทีม การบริหารสโมสรตั้งแต่ยุคที่มีนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เป็นประธานสโมสรก็คือ “ซื้อมาถูก ขายราคาแพง”

โดยตั้งแต่ในยุคที่ จอน รัดกิ้น เป็นผู้อำนวยการสโมสเมื่อปี 2015 เป็นแนวทางที่ทำให้สโมสรประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สามารถรักษาสมดุลทางด้านการเงินของสโมสรได้เป็นอย่างดี

ซื้อมาแล้วขายไป

เลสเตอร์ ลงทุนไปแค่  6 ล้านปอนด์เพื่อซื้อเอ็นโคโล่ ก็องเต้ มาจากทีมก็องในลีกเอิงของฝรั่งเศสเมื่อปี 2015 และมิสเตอร์ฮาร์ดแมนช่วยให้ “จิ้งจอกสยาม” สัมผัสแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 2015-16 เป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แต่ปีต่อมาก็ขายก็องเต้ให้เชลซีด้วยค่าตัวถึง 30 ล้านปอนด์

แดนนี ดริ๊งก์วอเตอร์ ที่ช่วยให้เลสเตอร์ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเช่นกันก็ถูกขายไปให้กับเชลซีในปี 2017 ด้วยค่าตัวถึง 40 ล้านปอนด์ โดยซื้อตัวมาจากแมนฯยูเพียง 1 ล้านปอนด์เท่านั้น

หนึ่งปีหลังจากขายดริ๊งก์วอเตอร์ไปให้เชลซี ก็ขายริยาร์ด มาห์เรซ ให้กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนฯซิตี้ด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ ทั้งๆ ที่ซื้อมาห์เรซ มาจากเลอ ฮาร์ฟ แค่ 1 ล้านปอนด์

ปี 2019 “ผีแดง” แมนฯยู ทุ่มเงินถึง 80 ล้านปอนด์ซื้อแฮร์รี แม็คไกวร์ไปร่วมทีม เลสเตอร์ซื้อปราการหลังทีมชาติอังกฤษมาจากเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัวเพียง 10 ล้านปอนด์

และที่เป็นอย่างที่เห็นเด่นชัดล่าสุดก็คือ เบน ชิเวลล์ แบ็กซ้ายทีมชาติอังกฤษ ก็เป็นนักเตะในอะคาเดมีของเลสเตอร์เอง ซึ่งเชลซีคว้าตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัวถึง 50 ล้านปอนด์

ซึ่งรวมค่าตัวนักเตะที่ว่ามา เลสเตอร์ ใช้เงินซื้อตัวเป็นจำนวนเพียงแค่ 18 ล้านปอนด์ (ราว 765 ล้านบาท) แต่สามารถทำเงินจากการขายให้สโมสรเป็นจำนวนเงินถึง 260 ล้านปอนด์ (ราว 10,920 ล้านบาท)

ปลุกปั้นและเพิ่มมูลค่านักเตะ

นอกจากการลงทุนซื้อถูกแล้วขายได้ราคาแพงแล้ว ปรัชญาการทำทีมของเลสเตอร์ยังอยู่ที่การมองหานักเตะดาวรุ่งมาปลุกปั้น ฝึกฝนอย่างหนัก และทำให้นักเตะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่า และอะคาเดมีของเลสเตอร์ก็ดำเนินไปในลักษณะนี้ด้วยเช่นกัน

วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ มิดฟิลด์วัย 24 ย้ายมาอยู่ในคิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยมเมื่อปี 2017 โดยมีค่าตัว 20 ล้านปอนด์ในการเซ็นสัญญามาจากเกงค์ในบอลลีกของเบลเยียม แต่ตอนนี้กองกลางทีมชาติไนจีเรียเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวตัดเกมชั้นเยี่ยม ค่าตัวของเขาในขณะนี้คือ 50 ล้านปอนด์

เช่นเดียวกับ ยูริ เตเลม็องส์ มิดฟิลด์ชาวเบลเยียมย้ายมาจากโมนาโกเมื่อกลางปี 2019 ด้วยค่าตัว 32 ล้านปอนด์ แต่ตอนนี้มีค่าตัวราว 50 ล้านปอนด์ และค่าตัวน่าจะพุ่งขึ้นไปมากกว่านี้หลังกลายเป็นฮีโร่ทำประตูชัยให้ “จิ้งจอกสยาม” คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครอง

และนักเตะเลสเตอร์ที่มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 27 ปี ล้วนแล้วแต่มีค่าตัวพุ่งขึ้นแทบทั้งสิ้น ระดับค่าตัว 50 ล้านปอนด์นอกจากเอ็นดิดี้,เตเลม็องส์ ก็มี เจมส์ เมดิสัน รองลงไปคือระดับ 40 ล้านปอนด์ก็คือ คักลาร์ โซยุนคู ส่วน 30 ล้านปอนด์คือ เวสลีย์ โฟฟานา,ฮาร์วีย์ บาร์นส์ และ ริคาร์โด เปเรย์รา ส่วน 20 ล้านปอนด์ก็คือ ทิโมธี คาสตานเย่

นักเตะเหล่านี้มีค่าตัวรวมกันถึง 430 ล้านปอนด์ (18,060 ล้านบาท)

จุดเปลี่ยนของเจ้าสัววิชัย

วิชัย ศรีวัฒนประภา รักฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ก่อนหน้าเชียร์ทีม “สิงโตสีน้ำเงินคราม” เชลซี มากเป็นพิเศษซื้อที่นั่งบ็อกซ์วีไอพีของ “สิงโตน้ำเงินคราม” มาเป็นเวลาหลายปี แต่มีครั้งหนึ่งที่มีปัญหาขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่สนามของสแตมฟอร์ด บริดจ์จนเกือบทะเลาะวิวาท หลังจาก “เจ้าสัววิชัย” ก็เลิกติดตามทีมเชลซีและบอกกับ “อัยยวัฒน์” ผู้เป็นลูกชายว่า วันหนึ่งจะซื้อสโมสรฟุตบอลเพื่อมาล้มเชลซีให้ได้

และตอนนี้ เลสเตอร์ทำได้สำเร็จแล้ว