Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555

Ralf Rangnick กุนซือที่ใช่ของแมนฯยู

ถ้าหากให้พูดถึงทีมชาติเยอรมนี รับรู้กันว่าเป็นทีมที่แข็งแกร่ง มีมาตรฐานการเล่นที่คงเส้นคงวา ประสบความสำเร็จมากมายทั้งในฟุตบอลโลกและฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

และกุนซือเมด อิน เยอรมนีก็ได้รับการยอมรับในฝีมือกันมาก โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีกทั้ง Thomas Tuchel กุนซือเชลซี และ Jurgen Klopp ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลถือว่าเป็นสุดยอดกุนซือแห่งยุค และคนที่ทั้งสองยอมรับว่าเป็นโค้ชที่เป็นแรงบันดาลใจ มีส่วนปลุกปั้นจนกลายเป็นผู้จัดการทีมที่มีชื่อเสียงก็คือ Ralf Rangnick

และตอนนี้ Ralf Rangnick กำลังจะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยจะเป็นกุนซือรักษาการจนสิ้นสุดฤดูกาลนี้ และหลังจากนั้นก็จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของผู้จัดการทีมคนใหม่อีกเป็นเวลาสองปี

Rangnick วัย 63 ผ่านชีวิตการเป็นเทรนเนอร์มานานกว่า 38 ปีแล้ว เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในการคุมทีมในอังกฤษก็จริง แต่ตอนอายุ 21 เคยได้มาใช้เวลาหนึ่งปีอยู่ในอังกฤษ โดยเข้าศึกษาที่  Sussex University ในไบรห์ตัน และได้ลงเล่นฟุตบอลสมัครเล่นกับทีมนอกลีกคือ Southwick FC จำนวน 11 นัดด้วย ในฤดูกาล 1979-80 ด้วย

แม้ว่าจะเป็นการเล่นกับสโมสรเล็กๆ ในฐานะนักเตะสมัครเล่น แต่เขาก็ทุ่มเทให้กับการเล่นอย่างเต็มที่ และได้รับบาดเจ็บอย่างหนักในระหว่างการเล่น โดนคู่แข่งเสียบเข้าแย่งบอลจากด้านหลังจนต้องเข้าโรงพยาบาล

“ผมซี่โครงหักไปสามซี่ และหนึ่งในนั้นก็แทงทะลุปอดของผม ต้องนอนในโรงพยาบาลเป็นเวลาสามเดือน” Rangnick ให้สัมภาษณ์กับรายการสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเขา

นักเตะอังกฤษคนโปรดของเขาก็คือ Garry Birtles อดีตดาวดังของแมนฯยู ประสบการณ์ในช่วงนั้นเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เขาเลือกทีจะมาเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลตั้งแต่ปี 1985 ผ่านการคุมทีมมาหลายสโมสรแต่เริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงคุมทีมฮันโนเวอร์ระหว่างปี 2001-2004 ตามมาด้วยชาลเก้ 04 และมาโดดเด่นอย่างมากในช่วงพาฮอฟเฟนไฮม์ขึ้นมาเล่นในบุนเดสลีกาได้สำเร็จ

และน้องใหม่อย่างฮอฟเฟนไฮม์เคยเอาชนะดอร์ตมุนด์ 4-1 ประตู ซึ่งในช่วงนั้น Jurgen Klopp รับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมของ “เสือเหลือง”

สไตล์การทำทีมแบบที่เน้นการเพรสซิ่งกดดันทีมคู่แข่งของ Rangnick ที่มีชื่อเรียกในเยอรมันว่า Gegenpressing ก็ได้รับการยอมรับอย่างมากในวงการลูกหนังเมืองเบียร์ และเมื่อ Jurgen Klopp ได้เข้ามาคุมลิเวอร์พูลก็ได้นำเอามาใช้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของทีมไปในที่สุด

ต่อมา Rangnick กลับมาคุมทีมชาลเก้อีกครั้งในปี 2011 และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เยอรมัน คัพไปครอง และยังพาทีมเข้าไปเล่นในศึกยูฟา แชมเปียนส์ลีก รวมถึงได้เจอกับทีมแมนฯยูในยุคที่มี Sir Alex’s Ferguson คุมทีมด้วย แม้จะแพ้ไปด้วยประตูรวม 1-6 ประตู แต่ “เฟอร์กี้” ก็ประทับใจในผลงานของกุนซือหนุ่มอย่างมาก

หลังจากนั้น Rangnick เข้ามาคุมทีมไลป์ซิกและช่วยทีมขึ้นชั้นเมื่อฤดูกาล 2015-16 จากนั้นก็อำลาตำแหน่งไป และอีกสามปีก็กลับมาคุมทีมอีกครั้งและทำให้ทีมได้อันดับ 3 ในบุนเดสลีกา แต่ได้ลาออกและหันไปรับหน้าที่ผู้อำนวยการสโมสรและฝ่ายพัฒนากีฬาให้ทั้ง แอร์เบ ไลป์ซิก และ แอร์เบ ซัลซ์บวร์ก และเป็นคนที่เซ็นสัญญาคว้า Sadio Mane,Naby Keita,Erling Haaland และ Joshau Kimmich มาร่วมทีม

และตอนนี้เขากำลังรับงานที่ท้าทายมากที่สุดก็คือกอบกู้สถานการณ์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และจะได้วัดฝีมือกับโค้ชที่เขาเคยให้โอกาสทำงานไม่ว่าจะเป็น Thomas Tuchel ตอนอยู่สตุ๊ตการ์ต, Julian Nagelsmann ที่ฮอฟเฟนไฮม์

ในปี 1998 เขาได้ฉายาว่า “โปรเฟสเซอร์” เมื่อออกโทรทัศน์เขียนข้อความบนไวต์บอร์ดแนะนำให้ทีมชาติเยอรมนีรู้จักระบบการเล่น “เพรสซิ่ง” รวมถึงการหันไปเล่นระบบแบ็กโฟร์ หลังจากก่อนหน้านี้ “อินทรีเหล็ก” ยึดระบบ 3 เซนเตอร์แบ็กโดยมีคนหนึ่งเล่นเป็นสวีปเปอร์มาโดยตลอด

“หน้าที่ซึ่งผมโปรดปรานมากที่สุดก็คือพัฒนาฝีเท้าของผู้เล่น ถ้าเกิดคุณเป็นผู้จัดการทีมและทำให้นักเตะยกระดับฝีเท้าขึ้นมาได้เต็มตามศักยภาพ นั่นแหละคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”

คงต้องมาดูว่า Ralf Rangnick จะสามารถปลุก “ผีแดง” ให้กลับมาเปรี้ยงได้อีกครั้งหรือไม่